เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ม.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ธรรมะเป็นความจริงนะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะตรัสรู้ได้ กว่าจะค้นคว้าได้ ความจริงอันนี้ยิ่งใหญ่นัก แต่พอความจริงมันยิ่งใหญ่นัก พอจะมารื้อสัตว์ขนสัตว์ วางธรรมและวินัยนี้ไว้ พวกเรานี่พวกสมมุติ พวกที่ในหัวใจมีแต่ความเหลวไหล พอในหัวใจมีแต่ความเหลวไหล แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติธรรมก็ประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยความเหลวไหล ความเหลวไหลจริงๆนะ เหลวไหลโดยกิเลสไง

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริง เวลาเราสวดมนต์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ถ้าสัจธรรม เราไม่เห็นต่างจากสัจธรรมอันนั้นไป ถ้าเราเห็นต่างจากสัจธรรมอันนั้นไปเราถึงเป็นทุกข์เป็นยากกันอยู่นี่ไง

ทีนี้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐจริงๆ เวลาประเสริฐจริงๆ ท่านถึงแยกแยะไว้ไงสมมุติบัญญัติถ้าบัญญัตินั้นบัญญัตินั้นยังเป็นสมมุติอยู่แต่เป็นบัญญัติเป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมมุติบัญญัติ แต่ถ้าวิมุตติไปมันพ้นจากบัญญัติไปพอพ้นจากบัญญัติไปมันสื่อกับใครได้ล่ะ มันสื่อกับใครไม่ได้เว้นไว้แต่ผู้รู้กับผู้รู้เขาสบตากันเขาก็รู้ ผู้รู้กับผู้รู้มันสื่อกันได้ไง

แต่ผู้ไม่รู้สื่อไม่ได้ พอสื่อไม่ได้มันก็เลยเป็นบัญญัติบัญญัตินี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แล้วบัญญัติไว้ด้วยว่ามันเป็นสมมุติเวลาสมมุติมันก็เป็นสมมุติอยู่แล้วไง เพราะเป็นสมมุติไงเพราะสมมุติซ้อนสมมุติไง

ดูสิ วันคืนล่วงไปๆ มันมีวันสำคัญ วันนักขัตฤกษ์ วันต่างๆ มันก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง เวลาวันพระวันโกนนะ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทำบุญวันพระวันโกน

วันพระวันโกน ดูสิ ดูจันทรคติสิ ดูดวงจันทร์ ดูแรงโน้มถ่วงของโลก มันยังเห็นได้ชัดๆขนาดว่าเป็นสัจธรรมที่มันสูงส่ง เป็นวัตถุเรายังเห็นได้ เรายังสัมผัสได้เลยแต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงมันลึกกว่านั้น ๓โลกธาตุมันซ้อนด้วยมิติ มิติที่มันมองกันไม่เห็นแต่มันอยู่ในที่เดียวกัน เวลาบอกสวรรค์อยู่ไหน ไปเลยนะ จะขี่จรวดไปหาสวรรค์เลย แต่มันไม่เห็นสวรรค์ในอก นรกในใจนี่ไง

ถ้าสวรรค์ในอกนรกในใจ จิตใจที่มันเป็นสวรรค์มนุสสเทโวมนุษย์ที่เป็นเทวดา ร่างกายนี้เป็นมนุษย์แต่จิตใจเป็นเทวดาเป็นเทวดาเขาเจือจาน เขาเผื่อแผ่ เขามีความสุขของเขา เขาเป็นเทวดา เขาเป็นมนุษย์แท้ๆแต่จิตใจเขาเป็นเทวดา แต่มนุสสเปโตร่างกายเป็นมนุษย์แท้ๆจิตใจมันเป็นเปรต เป็นเปรตจากหัวใจเรานี่แหละ นี่พระพุทธเจ้าแยกแยะถึงความเป็นมนุษย์นี่ก็สมมุติ

แล้วความเป็นเทวดา ความเป็นเปรต ใครมันทำขึ้นมาล่ะ ถ้าความเป็นเทวดาขึ้นมานะ ก็มีสติปัญญาขึ้นมาทำให้เราเป็นเทวดา เรามีสัจธรรมในหัวใจของเรา

เราเชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเชื่อมั่น เพราะเชื่อมั่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ทำแบบนี้แล้วมันจะได้ผลประโยชน์อย่างนี้ เพราะจิตใจเรามีบุญกุศลเราถึงได้มีศรัทธามีความเชื่อแล้วทำตามอย่างนั้น ทำตามจนเป็นจริตจนเป็นนิสัย ทำตามจนเห็นผลน่ะ เห็นผลที่ไหนเห็นผลที่ไปที่ไหนตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ไปตกระกำลำบากที่ไหนมีแต่คนอุ้มชูดูแลมันเห็นของมันไง

ไอ้คนคนหนึ่งไปตกระกำลำบากอยู่ ไม่มีใครเหลียวแลเลย ไม่มีใครเหลียวแลเพราะเขาก็ไม่ได้ทำสิ่งใดไว้เลยไง ไอ้คนที่เขาทำๆ ไว้เพราะเชื่อศรัทธาในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วแสวงหาแล้วทำอย่างนั้น ตกทุกข์ได้ยาก มีคนค้ำจุน มีคนดูแลมีคน โอ๋ย! ทำไมนั่นไง เขาเชื่อพระพุทธเจ้า เขาทำตามความเชื่อพระพุทธเจ้า แต่เขาทำแล้วเขาได้ผลของเขาจริงๆไง

แต่เวลามนุสสเปโตมนุษย์เปรตจิตใจมันเห็นแก่ตัว มันบีบคั้นในหัวใจของเรา ไปไหนมีแต่ความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ แล้วก็ตีตนว่าเราไม่ได้ไอ้นั่นๆ...ก็เอ็งไม่เคยทำ ก็เอ็งไม่ได้ทำมา ไม่ได้ฝากธนาคารไว้เบิกธนาคารไม่ได้ คนจะเบิกธนาคารได้ต้องฝากธนาคารไว้เว้นไว้แต่ไอ้โจรมันไปปล้นธนาคาร ปล้นธนาคารมันก็โดนตามจับนั่นแหละแต่ของเราไปฝากไว้เราก็เบิกของเราไง นี่ก็เหมือนกัน เราทำสิ่งใดไว้ เราทำประโยชน์กับเรา

นี่สมมุติๆสมมุติขนาดว่ายังต้องแบ่งเป็นสมมุติบัญญัตินะก็สอนไอ้พวกโง่ๆ เรานี่แหละไอ้โง่ๆ มันจะได้เข้าใจได้บ้าง ถ้าเข้าใจได้บ้าง ถ้ามันเข้าใจได้บ้างมันก็ศึกษา พอสมมุติๆ สมมุติก็เหมือนกับฟ้าอากาศ มันไม่มีอะไรติดไม้ติดมือเลย เราใช้ชีวิตของเราทั้งชีวิตเลยเพื่อสมบุกสมบันมาอย่างนี้แล้วมันไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยนะ แล้วถ้ามันมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ทำให้เราตกทุกข์ได้ยากไปตลอด

ตกทุกข์ได้ยากนะ ทั้งๆ ที่เกิดเป็นมนุษย์การเกิดเป็นมนุษย์เป็นวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์การเกิดเป็นมนุษย์โดยวัฏฏะพอเกิดเป็นมนุษย์ คำว่า“วิทยาศาสตร์” ขึ้นมาเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดเจนแล้วมันจับต้องได้ด้วย แต่เวลาคนเกิดมาแล้วสิ่งที่เป็นสสารเป็นทางวิทยาศาสตร์มันไม่รู้จักตัวมันเองมันไม่รู้จักคุณค่าของมันเอง คนที่มีค่า แร่ทองคำเพชรมันมีคุณค่าแต่แร่อื่นมันไม่มีคุณค่า

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์ๆมันมีคุณค่าในตัวมันเอง มันมีคุณค่าอยู่แล้วไงแต่เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปิดหูปิดตา มันก็เลยแบ่งแยกไปว่ามนุสสเปโตมนุสสเทโวมนุษย์ประเภทใดๆ แล้วเราเป็นได้ทุกประเภทเลย เวลาโกรธขึ้นมานั่นน่ะมนุษย์เปรตเวลามันโกรธขึ้นมามันจะทำลายเขาน่ะ เวลามันหายโกรธไปแล้ว อืม! หายไปแล้ว เราเมตตาเขานี่เป็นเทวดาแล้ว นี่ไง สมมุติๆมันแปรปรวนตลอดเวลาจิตใจเรามันแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันอยู่ที่ไหนล่ะ ก็ทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามาก่อนสิ

ถ้าไม่ทำความสงบของใจเข้ามาความละเอียดรอบคอบ เรารู้เห็นสิ่งนั้นไม่ได้หรอก สิ่งที่รู้เห็นกันอยู่นี่รู้เห็นโดยมายาภาพ รู้เห็นโดยโลกๆทั้งนั้นน่ะ โลกๆ รู้เห็นกันอย่างนั้นแล้วมันก็เป็นการยืนยันแบบโลกๆ ไงโลกๆ เห็นไหมจินตมยปัญญา

ถ้าจะเอาจริงเอาจังกันนะครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราฟัง แล้วเวลาหลวงตาท่านพูดนะ ท่านอยู่ป่ามา ๙ ปีท่านประพฤติปฏิบัติของท่านท่านบอกว่าถ้าใครมาเห็นตอนนั้นน่ะจะเห็นความสมบุกสมบันของท่านไง

เวลาหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน ท่านทำของท่าน ท่านสมบุกสมบันของท่าน การสมบุกสมบัน เราเอาจริงเอาจังอย่างนั้นมันถึงได้ผลตามความจริงมา ครูบาอาจารย์เราท่านจริงไง เพราะเป็นความจริงอย่างนั้นมันถึงได้ธรรมะสัจจะความจริงไง

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอดยอดอริยสัจ มันสุดยอดแห่งความเป็นจริงจริงเหนือโลกเลยล่ะ แล้วคนที่จะเข้าสู่ความจริงอย่างนั้นได้มันต้องจริงในหัวใจอันนั้น ถ้าหัวใจอันนั้นจริงเวลาทำสิ่งใดมันทำด้วยความจริงจัง ทำด้วยความเสมอต้นเสมอปลาย

ไอ้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันไม่เสมอต้นเสมอปลาย มันเป็นไฟไหม้ฟางไง เวลาตกทุกข์ได้ยากเวลามีกิเลสบีบคั้นขึ้นมา พอมันรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างก็มุมานะ ทำอยู่ ๒ วัน ๒ วันเท่านั้น เลิก นี่จริงจัง จริงจังมาก อู้ฮู! สุดยอดๆ ๒ วัน ไอ้พวกไฟไหม้ฟางเห็นไหม

การทำเสมอต้นเสมอปลายอย่างนี้มันก็ต้องอยู่ที่อำนาจวาสนาของคนนะ อำนาจวาสนาของคนเขาจะรักษาหัวใจของเขา ความสมบุกสมบันอันนั้นมันก็มีถูกมีผิดทั้งนั้นน่ะ เพราะอะไร เพราะกิเลสมันมีชีวิตไงกิเลสมันพลิกแพลงในหัวใจไง

“มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา” ความดำริอนุสัยที่มันนอนอยู่ในหัวใจมันนอนเนื่อง ในการกระทำของเรา เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา กิเลสมันก็อยู่ในหัวใจของเราน่ะ มันพลิกมันแพลงมันดีดมันดิ้นอยู่ในหัวใจของเราเห็นไหม เราพยายามขีดเส้นมัน เราพยายามจะครอบคลุมมันเราพยายามจะดูแลมัน ดูแลมันจำกัดมันให้มันอยู่ในวงแคบไงให้มันเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมาจำกัดมันให้มันอยู่ในวงแคบนั้นแล้วเราพยายามทำความสงบของใจเข้ามาไง

พอใจมันสงบระงับขึ้นมาแล้วเราจะคอยไปชำแรกชำแรกแยกแยะมันไง เราจะไปตรวจสอบมันเราจะไปดูแลแก้ไขมันไง ถ้าจิตมันสงบแล้วเราพยายามทำขึ้นมาเพื่อให้มันขอบเขตของมัน

เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาของเราเราทำของเราด้วยความทุกข์ความยากขึ้นมาด้วยความเสมอต้นเสมอปลายเราพยายามขีดวงจำกัดของมันเวลาขีดวงจำกัดของมันต้องเอามันเข้าไปสู่ที่อับที่จนไง เลิก เดี๋ยวมันก็ฟูขึ้นมาอีกแล้วเราก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่ ทำอยู่อย่างนั้นน่ะทำอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วก็บอกว่า“ทำปฏิบัติไม่ได้เลย ปฏิบัติไม่ได้เลย ปฏิบัติมันทุกข์มันยาก”

ก็มันทุกข์มันยากเวลาเกิดตายแต่ละชีวิตนะเวลาเกิดขึ้นมามีแต่ความภูมิใจมีแต่ความดีใจกัน เวลาจะจากกันไปที เวลาจะตายทีหนึ่งมีแต่ความเสียใจ มีแต่การพลัดพราก แล้วก็มาเกิดตายๆกันอยู่อย่างนี้ตลอดไป แล้วการเกิดการตายแต่ละภพแต่ละชาติมามันซ้อนมากี่ภพกี่ชาติ มันไม่ทุกข์ไม่ยากกว่าการประพฤติปฏิบัตินักหรือ

เวลาประพฤติปฏิบัติเวลาว่ามันยากๆเจ็บช้ำน้ำใจในแต่ละภพแต่ละชาติ เวลามันทุกข์มันยากเวลากิเลสมันทิ่มแทงหัวใจแต่ละภพแต่ละชาติ เจ็บช้ำน้ำใจมาตลอดเลย เวลามันทุกข์ยากอย่างนี้ทำไมไม่คิดถึงมันบ้างล่ะ เวลามันทุกข์มันยากมันบีบคั้นใจเราเราไม่เคยคิดถึงมันบ้างเลย เราไม่ได้คิดว่าสิ่งนี้มันทำเราบ้างเลยหรือ

เวลานั่งสมาธิภาวนาเวลาเดินจงกรมทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนั้น ถ้ามันทุกข์มันยากขนาดนั้น เราก็เอาจริงเอาจังของเราสิถ้ามันทำจริงทำจัง ทำด้วยความเสมอต้นเสมอปลาย

หลวงตาท่านบอกท่านปฏิบัติ ๙ ปี ๙ ปีนี้ไม่มีใครมาเห็นเราหรอก ใครมาเห็นตอนนั้นแล้วมันจะเห็นความจริงจังของท่านไงเวลาท่านออกมาแล้ว ท่านบอกว่าท่านออกจากป่ามาแล้ว มาสังคมแล้ว เราเพิ่งไปเห็นตอนท่านออกมาสังคมแล้วไง “โอ๋ย! หลวงตาดีอย่างนู้น หลวงตาดีอย่างนี้”

แต่เวลากว่ามันจะดีมันต้องมีที่มาสิ คนจะดีคนจะเลวมันต้องมีการกระทำมา มันได้ทำอย่างไรมามันถึงดี คนจะดีจะเลวมันก็ต้องมีการกระทำมาทั้งนั้นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ที่เรามานั่งกันอยู่นี่ บุญกุศลมันสร้างสมมา ความเป็นมนุษย์ๆ นี่ ความเป็นมนุษย์ สิ่งที่มันเชิดชูมาให้เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้วมันก็มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจที่มันยังพลิกแพลงมันยังครอบคลุมหัวใจเรานี่แหละเราเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเพื่อขีดขอบเขตของมันเท่านั้นเอง ทำความสงบของใจเข้ามาให้มันขีดขอบเขตของมันให้อยู่อย่างนั้นไง แล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนาถ้ามันเป็นความจริงอันนั้น เห็นไหม

เราทำจริงๆ นะ คนจริงเท่านั้นถึงจะได้สัจจะความจริงคนไม่จริงทำเล่นๆ ทำเป็นแฟชั่น โอ๋ย! เดี๋ยวนี้ปฏิบัติเป็นแฟชั่นเลย ที่ไหนก็มีการประพฤติปฏิบัติ มีสำนักปฏิบัติเต็มไปหมดเลย ไอ้นี่มันก็เป็นแค่บรรเทาทุกข์ บรรเทาทุกข์ถ้าเราไม่มีศีลเราก็เป็นอิสระไงกิเลสมันก็ยิ่งกว้างขวางไง เรามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็จำกัดมันด้วยศีลๆ ก็แค่นั้นน่ะมันเป็นแฟชั่นน่ะปฏิบัติเป็นแฟชั่นมันไม่จริงไม่จัง ถ้ามันจริงมันจังขึ้นมา เราเอาจริงเอาจังของเราขึ้นมา

คนจริงนะ คนจริงมันจริงในหัวใจเรานี่แหละ มันกระทำในหัวใจเรานี่แหละ ถ้ามันจริงขึ้นมาเราดูแลของเราเราไม่ได้ปฏิบัติเป็นแฟชั่น ถ้าปฏิบัติเป็นแฟชั่น คนเรามันไม่มีความพร้อม ถ้ามันมีความพร้อมการกระทำของมันนะ แล้วทำจริงๆ ทำจังๆทำจริงๆ ทำจังๆเพื่อประโยชน์กับเรา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกทั้งนั้นน่ะ

เวลาที่มีศรัทธาความเชื่อเราต้องมั่นคงของเรา แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาไว้เอง กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้นไม่ให้เชื่อ

ศรัทธาความเชื่อสำคัญกับคนที่เริ่มต้นเริ่มต้นถ้าไม่มีศรัทธาความเชื่อมันไม่เข้าไปพิสูจน์ไง ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อเราค้นคว้าพิสูจน์ตรวจสอบ แต่ศรัทธานั้นแก้กิเลสไม่ได้ ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้แต่ความเชื่อนั้นพาให้เราเข้าไปค้นคว้า พาให้เราไปประพฤติปฏิบัติแล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา นั่นน่ะอันนั้นน่ะ ให้เชื่อตามความเป็นจริงที่เราปฏิบัติขึ้นมา

แต่นี่ปฏิบัติขึ้นมาแล้ววุฒิภาวะเราอ่อนด้อยไง “ว่างๆว่างๆ”...ว่างๆอะไรของเอ็งอากาศมันก็ว่างเขาไปอวกาศกันนู่น ตอนนี้เขาไปดาวอังคารแล้วมันต้องเดินทางเป็นสิบกว่าปีน่ะนี่ว่างๆ ว่างๆอะไร ว่างๆ ไม่มีสติไม่มีปัญญาไม่มีสิ่งใดเริ่มต้นท่ามกลางและสิ้นสุดเลยหรือ มันต้องมีสิ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ เหตุมันอยู่ที่ไหน เหตุมันมีแต่โม้กันไปก็โม้กันมา เอาแต่กิริยามาอวดกันกิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิก กิเลสไม่เห็นตัวมันเลยไม่รู้จักหน้ามันด้วย นี่ไง เวลาไม่รู้จักหน้ามันก็ไปเขียนสร้างภาพไว้ เขียนภาพกิเลสไว้เลยตามฝาผนังนะกิเลสมันเป็นอวิชชา อวิชชามันเป็นยักษ์เป็นมาร เป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว

เวลาครูบาอาจารย์ท่านไปพบ ท่านบอกมันหยดย้อยยิ่งกว่านางสาวจักรวาลจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ความผ่องใส ความเวิ้งว้าง ความว่าง นี่กิเลสทั้งนั้นไอ้เราก็ “โอ๋ย! สุดยอดๆ” นั่นล่ะเพราะมันทำให้เราเคลิบเคลิ้มไงมันทำให้เรายอมจำนนไงปฏิบัติแล้วตั้งแต่ฆ่าลูกฆ่าหลานมันมา สุดท้ายก็ไปยอมจำนนกับพ่อมัน ไปยอมจำนนกับอวิชชาจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลสแล้วจิตเดิมแท้นี้ผ่องใสมันจะรู้ตัวมันเองได้อย่างไร มันจะเข้าใจตัวมันเองได้อย่างไร มันจะใช้ความสามารถมากน้อยขนาดไหน

ความสามารถนะความสามารถของจิต จิตนี้มหัศจรรย์นัก มันจะอยู่ในหัวใจของผู้หญิง ผู้ชายมันจะอยู่ในหัวใจของใครก็แล้วแต่ ถ้ามันพิจารณาขึ้นมามันมีมรรคมีผลขึ้นมา มันมหัศจรรย์ทั้งนั้นน่ะ จิตนี้มหัศจรรย์ ความรู้สึกนี้มหัศจรรย์ความรู้สึกนี้มันสร้างได้ ความรู้สึกนี้มันพัฒนาได้ ความรู้สึกนี้ทำให้มันเจริญงอกงามได้ แล้วความเจริญงอกงามขึ้นมาเทวดา อินทร์พรหมต้องมาฟังเทศน์ มันจริงอย่างนี้ มันจริงสุดยอด จริงเหนือจริง แต่เราจะจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง

ถ้าเราจะจริงนะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา การเป็นมนุษย์นี่เป็นวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์พิสูจน์กันด้วยความเป็นมนุษย์นี่แหละ ถ้าความเป็นมนุษย์มนุษย์เกิดแล้วต้องตายทั้งหมดแต่หัวใจที่มันไม่เคยตาย มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันสำรอกมันคายเป็นชั้นๆ ขึ้นไปไง เพราะอะไรเพราะจิตนี้มันต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันไม่มีต้นไม่มีปลายใช่ไหม เวลาเป็นโสดาบันเกิดอีก๗ ชาติ มันรู้ได้อย่างไรล่ะ มันรู้ได้อย่างไร

คนที่ต้องเกิด อย่างเราเราต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราไม่รู้ว่าจะเกิดอย่างไรเนาะ เวลาตายก็ไม่รู้ว่ามันตายอย่างไร มันแว็บตายแล้ว เวลามันเกิดก็วุบ เกิดแล้ว เอ๊ะ! มันเกิดอย่างไร มันเกิดอย่างไร ไม่รู้หรอก แต่ถ้าสังโยชน์มันขาดไป ๓ เหลืออีก ๗ชาติมันรู้ในตัวมันเอง

ถ้าไม่รู้ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกไง นี่ไง กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้นไง ให้เชื่อผลของการปฏิบัติไง ถ้าปฏิบัติแล้วมันมีผลขึ้นมา มันรู้ขึ้นมาอย่างไร ถ้ามันไม่รู้ขึ้นมา มันจะมีผลได้อย่างไร

ถ้ามันมีผลขึ้นมาพิจารณาขึ้นไปเวลาโลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง นี่๓ ชาติเป็นพระสกิทาคามี แล้วพระอนาคามีมันไม่เกิดบนพรหมมันไม่เกิดบนกามภพ ไม่เกิดตั้งแต่เทวดาลงมา ถ้ามันถึงของมัน มันก็ไปเกิดบนพรหม

แล้วเวลาพรหม ดูสิ เข้าฌานสมาบัติ ถ้าเขาควบคุมใจเขาได้ เวลาเขาตายเขาก็ไปเกิดบนพรหมเหมือนกัน แต่เป็นพรหมปุถุชน แต่พระอนาคามีไปเกิดบนพรหมมันพรหม ๕ ชั้น มันคนละพรหมพรหมที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว กับพรหมที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเวลามันสิ้นไปเวลาไปอยู่บนพรหมแล้วมันสิ้นไป แต่มันเนิ่นนานใช่ไหมเวลาครูบาอาจารย์เราท่านถึงไม่ไว้วางใจไงท่านต้องเอาจบที่นี่ไง จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลสเอวัง